สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน ยามเช้าที่สดใส วันนี้อะตอมมีงานวิจัยดี ๆ มาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้กัน ซึ่งเป็นผลงานวิจัยตีพิมพ์จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มจธ.” โดยอะตอมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์บทความสั้น ๆ จาก ผศ. ดร.สุดธิดา เปลี่ยนคารมย์ ธนทรัพย์สิน ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างนักศึกษาปริญญาโทกับเจ้าของโรงงานคั่วอบเมล็ดกาแฟ และความร่วมมือของทางวิศวกรรมอุตสาหการ มจธ. อีกทั้งยังได้รับประเภททุนวิจัยทุนวิจัยพื้นฐาน Basic Research Fund (Blue Sky) ในปี 2564 จนทำให้ได้ผลงานวิจัยและได้รับการตีพิมพ์ ในปี 2565 ระดับ Q1 ที่มีหัวข้อชื่อว่า “Valorization of Coffee Silverskin through Subcritical Water Extraction: An Optimization Based on T-CQA Using Response Surface Methodology”
.
แค่จากหัวข้อก็ว้าวกันแล้วใช่ไหม!! งั้นลองมาฟังรายละเอียดของงานวิจัยนี้กัน................
งานวิจัยนี้เกิดขึ้นได้จากการที่นักวิจัยเห็นว่าทางทางโรงงานคั่วอบเมล็ดกาแฟมีการทิ้งในปริมาณที่เยอะมากของเยื่อซิลเวอร์สกินกาแฟ (Coffee Silverskin) ที่เกิดจากการหลุดออกจากเมล็ดกาแฟในระหว่างกระบวนการคั่ว หลังจากนักวิจัยนำกลับมาศึกษาถึงประโยชน์หรือสารประกอบของเยื่อหุ้มเมล็ดกาแฟ พบว่ามีสารตัวหนึ่งที่สำคัญ คือ กรดคลอโรจีนิค (Chlorogenic Acid - CGA) มีประโยชน์ที่สามารถช่วยยับยั้งการดูดซึมของไขมัน ช่วยเพิ่มการเผาผลาญของไขมันในตับ และช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด แต่เนื่องจากระดับปริมาณของกรดคลอโรจินิคหลังจากผ่านกระบวนการคั่วแล้ว ค่อนข้างมีปริมาณต่ำมาก จึงต้องมีการศึกษาให้ดี เพื่อให้สามารถสกัดกรดคลอโรจีนิคได้มากขึ้น โดยการสกัดที่ไม่ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ สามารถทำได้ด้วย 2 หลักการ คือ 1. การสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) 2. การสกัดด้วยน้ำ ด้วยทางนักวิจัยทราบว่าประเทศที่มีการทำงานวิจัยของเรื่องเมล็ดกาแฟมากสุด คือ ประเทศบลาซิล และได้ศึกษาวิธีการสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ไปแล้ว แต่ผลการศึกษาพบว่าวิธีดังกล่าวสามารถสกัดได้สารสำคัญกลุ่มที่ละลายในไขมันได้ดี แต่ได้กรดคลอโรจีนิค (Chlorogenic Acid - CGA) ค่อนข้างน้อย จึงทำให้นักวิจัยจึงอยากทดลองเลือกใช้หลักการสกัดด้วยน้ำแทนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์
.
จึงเกิดจุดเริ่มต้นและการได้รับการตีพิมพ์ Q1 ได้ เพราะว่า ในการจะทำการสกัดด้วยน้ำ แต่ต้องเป็นน้ำในสภาวะกึ่งวิกฤต ก็คือ สภาวะที่น้ำสามารถเป็นได้ทั้ง 2 สถานะในเวลาเดียวกัน คือ สถานะแก๊สที่สามารถทำให้โครงสร้างภายนอกของเยื่อซิลเวอร์สกินกาแฟแยกออกจากกัน จากนั้นจึงทะลุทะลวงเข้าไปในโครงสร้างของเยื่อซิลเวอร์สกินกาแฟ ในขณะที่โมเลดุลของน้ำในสภาวะของเหลวก็จะทำหน้าเป็นตัวทำละลายที่ดีในการชะละลายเอาสารที่ต้องการออกมาได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องค้นหา ปัจจัยที่มีผลต่อการสกัด CGA และสภาวะกึ่งวิกฤตที่เหมาะสมที่สุด เพื่อที่จะสามารถสกัดกรดคลอโรจีนิคให้ได้ปริมาณมากที่สุด โดยทำการควบคุมพารามิเตอร์ด้วยหลักการการออกแบบการทดลอง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า DOE (Design of Experiment) ผลการทำนายสภาวะที่เหมาะสมจากแบบจำลองทางคณิศาสตร์พบว่าสารสกัดที่ได้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและได้กรดคลอโรจีนิคในปริมาณมาก วิธีการนี้สอดคล้องกับหลักการเคมีสะอาดหรือเคมีสีเขียวเนื่องจากไม่มีการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ที่เป็นอันตราย และใช้ตัวทำละลายเฉพาะน้ำเท่านั้น ตลอดทั้งกระบวนการ ลดขั้นตอนการกำจัดตัวละลายอินทรีย์ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีตัวทำละลายมีพิษเหลือในสารสกัด จึงทำให้ไม่มีอุปสรรคเรื่องความเป็นอันตรายในการนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การนำไปผสมในน้ำผลไม้ หรือ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มต่างๆ ที่มีประโยชน์ในแง่ของการช่วยลดน้ำตาลในเลือด
.
โห้วว จากที่ได้ฟังการสัมภาษณ์ในงานวิจัยนี้ อะตอมรู้สึกว้าวววมาก ที่มีการรวมกันทั้งหลายสายงาน และถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมกับงานวิจัยที่อะตอมบอกมานี้ สามารถตามไปอ่านรายละเอียดต่อได้เลยครับ
แล้วอะตอมจะมาบอกสิ่งใหม่ๆ อีกนะคร๊าบบบ